ดับไฟที่ไหนดับได้ยากที่สุด

เมื่อเราเห็นไฟไหม้เราก็ต้องช่วยกันดับ จะด้วยวิธีไหนก็แล้วแต่ แต่ถ้าเรารู้สึกว่ามีไฟไหม้ในใจจะดับกันได้อย่างไร แต่ก่อนที่ไฟจะไหม้นั้นคงจะมีสาเหตุที่ทำให้เกิดไฟในใจก่อนว่ามันคืออะไร สิ่งที่ทำให้ไฟลุกขึ้นนั้นมาจากไหน สิ่งเร้าต่างๆ หรือว่าความคิดของเรา เอง หรือทั้ง 2 อย่างรวมกัน โดยทั่วไปแล้ว เมื่อไหร่ที่เราเกิดมีไฟในใจ เราก็จะต้องการดับไฟด้วยของสิ่งนั้น อย่างเราเห็นเขามีรถใหม่ เงินเดือนก็ไม่เท่าไหร่แต่ออกรถใหม่แล้ว เกิดไฟแล้วแถมด้วยมีแรงกระตุ้นจากรอบทิศทาง รถเราเก่าแล้ว ต้องได้ซ่อมแล้ว สีก็ตกยุค ไม่สวย เบาะก็เริ่มขาด ไฟก็ไม่สว่าง เรียกว่าไม่ดีเลยสักอย่าง แต่คนที่มาเห็นรถเราแล้วยังไม่มีรถใช้ก็จะมองต่างมุมกันทันที มองว่ารถเรานั้นสวย อยากได้แบบเราบ้าง จนในที่สุดความยากได้ใหม่ของทั้งคู่มาเจอพร้อมกัน ก็กลายเป็นตกลงกันได้อย่างง่ายดาย คนขายก็ดีใจ คนซื้อก็ดีใจแล้วใครกันแน่ที่จะได้ ทุกข์หลังจากนี้
มาถึงตรงนี้อาจจะเดากันไปต่างๆ นานา เพราะเจ้าของเก่าก็บอกว่ารถเก่าแล้วต้องเริ่มซ่อมแล้ว จริงหรือ ต้องมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษารถเก่ากันมากขนาดไหน แต่ด้วยความโชคร้ายบนความโชคดี เจ้าของรถคนใหม่ได้นำรถไปเข้าร้านที่รู้จักกันแล้วช่างก็ทำการประเมินซ่อมทำให้ หมดเงินไปอีกเป็นหมื่นบาทแล้วรถคันนี้ก็ขับได้ทั่วประเทศ ท่องเที่ยวหรือใช้หาเงินได้เกินกว่ามูลค่าของรถอย่างแน่นอน กลับกันเมื่อเจ้าของรถคันเก่าขายได้ไปแล้ว ก็ต้องมีการซื้อของใหม่ ไฟในใจจะได้ดับลง ต้องดีกว่าเดิมต้องใหญ่กว่าเดิมต้องแพงกว่าเดิม คันเก่าซื้อมาเกือบล้านบาท คันนี้ ต้องล้านห้าไปเลยจะได้ดูดีสมฐานะ เพราะสายตาของทุกคนมองว่าเขาคนนี้มีฐานะดีมีอันจะกินแบบเหลือเฟือ ตอนนี้ก็ได้รถใหม่มาแล้ว ไม่ต้องซ่อมไม่ต้องดูแลกันมากเพราะรถมีประกันอยู่แค่เอาเข้าศูนย์บริการตามกำหนดระยะเวลาเป็นใช้ได้
แต่แล้วสิ่งที่เกิดตามมานั้นคือ รถคันที่ขายไปคนใช้คนใหม่ใช้อย่างสบายใจ ด้วยเงินสดที่มีตามกำลังซื้อเงินสดไม่ต้องผ่อนแล้วก็ทำการเก็บเงินใหม่ให้รถคันนี้ช่วยในการทำมาหากินไปด้วย ส่งของ ส่งเอกสารหรือตามแต่จะทำงานได้ ส่วนเจ้าของรถป้ายแดงตอนนี้หน้าดำหน้าแดงเพราะต้องผ่อนรถเดือนละกว่า 2 หมื่นบาท จากที่ไม่มีภาระอะไรมากนักมาเจอรูปแบบนี้แถมจะต้องขอข้าววัดมากินกันเลย เพราะแค่ค่าผ่อนบ้านกับผ่อนรถก็กว่า 4 หมื่นบาทแล้ว เงินเดือนก็หมดเรียบร้อย การดับไฟด้วยไฟแบบนี้เป็นสิ่งที่ถูกจริงหรือ
กลับมาคิดทบทวนดูใหม่ ไฟในใจเกิดจากกิเลสทั้งหมดพูดกันแบบภาษาบ้านๆ ก็คือความอิจฉา เพราะคำนี้ทำให้เดือดร้อนกันมานักต่อนักแล้ว แล้วการดับไฟในใจที่ถูกต้อง ต้องมีหลักการคิดง่ายๆ เพียงแค่ 3 อย่างนั้นคือ
1.ปล่อยเขาเรื่องของเขา
ไม่ว่าคนรอบตัวเราจะมีดีมีเด่นอย่างไรก็ตาม อย่าสนใจจนออกนอกหน้า ถ้าเขามาบอกว่ามีรถใหม่ บ้านใหม่ นั้นก็คือน้ำพักน้ำแรงจากเขา เราไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับเขาเลย ปล่อยให้เขามีความสุขกับตัวเขาดีที่สุด ถ้าเราเก็บเรื่องเขามาคิดก็เท่ากับการเติมไฟในตัว เพิ่มไฟในใจดับไม่ได้อย่างแน่นอน
2.ดีใจกับเขาแบบจริงใจ
การที่เพื่อนบ้านหรือคนรู้จักมีของใหม่ เราควรต้องดีใจกับเขาแล้วก็มองว่าที่ผ่านมานั้นเขาไม่มีเพราะตั้งใจทำงานแล้วก็ทำการเก็บเงิน เก็บทองเพื่อจะมีของที่จำเป็นหรือของที่อยากได้แบบนี้สักครั้ง เมื่อครั้งก่อนตอนที่เราได้รถมาใหม่เขาก็ดีใจกับเราแล้วก็ยังมีน้ำใจกับเรามาตลอด เพราะเขาเห็นถึงความตั้งใจของเรา แถมเขาก็ยังเอาเราไปเป็นตัวอย่าง เราควรต้องดีใจกับเขาและชื่นชมเขา นำเขากลับมาเป็นแบบอย่างสอนตัวเราเองในแบบที่เรายังไม่มีด้วย
3.มีก็ทุกข์ ไม่มีก็ทุกข์
หลายครั้งที่ความทุกข์ของเรานั้นเกิดจากการที่เราไม่มีแบบเขา ไม่มีเหมือนเขาไม่นานเกินรอเราก็ต้องไปหามาให้มีแบบเขา แล้วในที่สุดพอมีแล้ว ก็ทุกข์อีกเพราะต้องระวังจะเสียหาย ตกแตกหรือเปื้อน ร่วมไปถึงของราคาแพงที่ต้องทุกข์กันหลายเดือนทุกกันทุกวันเพราะต้องหาเงินมาผ่อนของแพงๆ อย่างเช่นโทรศัพท์มือถือ
โทรศัพท์มือถือบางเครื่องราคาแพงถึง 40000 บาทแต่ก็ใช้งานได้เหมือน เครื่องละ 4000 บาทเพราะไม่ได้ใช้เพื่อการธุรกิจแต่อย่างใดใช้เพื่อความสนุกส่วนตัว และคิดว่ามันคือความสุข สุขตอนไหนนะหรือก็สุขตอนที่มีคนมาทักว่าใช้ของดีของแพง เพียงแค่นั้น แต่ก็ต้องแลกกับการผ่อนกันแทบจะลากเลือด แล้วแบบนี้คิดว่า “มีแล้วทุกข์ กับไม่มีแล้วทุกข์” อันไหนที่จะทำให้ทุกได้น้อยและตัดใจได้เร็วกว่ากัน
ทุกสิ่งอย่างล้วนอยู่ที่ใจคิด อย่าไปเอาคำคนอื่นมาตัดสิน เพราะเมื่อไหร่ที่เอาคนอื่นมาตัดสินนั้นแปลว่าคุณต้องการหาแค่คนคอยรับผิด ไม่ได้ต้องการหาคู่คิดอย่างแท้จริง ลองมีปัญหาดูสิคุณก็จะโทษคนที่บอกคุณทันที ว่าคนนี้แนะนำ คนนั้นบอกให้ทำจริงหรือไม่จริงคิดดูให้ดี